วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ลัทธิต่อต้านวัคซีน (anti-vaxxer)

อ่านพบกับข้อมูลของเรื่องลัทธิต่อต้านวัคซีน (anti-vaxxer) จากอเมริกา แล้วแพร่ระบาดไปทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศที่มีความเจริญด้านสาธารณสุข รู้สึกว่าน่ากลัว เลยเอามารวมๆ เก็บไว้ที่เดียวกันเพื่อเวลาที่ให้คนอื่นอ่านข้อมูลจะได้หาง่ายๆ

ลัทธิต่อต้านวัคซีนบุกไทย แชร์ผ่านโซเชียล เตือนอย่าเชื่อ หวั่นโรคระบาดกลับมา
http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9590000018997

Drama-addict
https://www.facebook.com/DramaAdd/posts/10154027637198291

Drama-addict
https://www.facebook.com/DramaAdd/posts/10154032064288291

หมอแมว
https://www.facebook.com/HmxMaew/photos/a.398936216867904.96187.398912630203596/982740731820780/?type=3



http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9590000018997

 กุมารแพทย์ห่วง “ลัทธิต่อต้านวัคซีน” บุกไทย พบแชร์ผ่านเฟซบุ๊ก ให้ข้อมูลผิดๆ ฉีดวัคซีนทำให้เป็นโรค ไม่ฉีดก็ไม่ป่วย หวั่นคนไทยบางกลุ่มพร้อมเชื่อ ไม่ยอมพาลูกไปฉีดวัคซีน ทำโรคที่เคยควบคุมได้แล้วกลับมาระบาด เผยสหรัฐฯ มีกลุ่มต่อต้านจำนวนมาก จนมีเด็กตายมาแล้ว
     
พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ทารกแรกเกิด รพ.บีเอ็นเอช และอนุกรรมการมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า วิธีสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ทารกแรกเกิดที่ดีที่สุด คือ การให้ลูกรับประทานนมแม่เพียงอย่างเดียวนาน 6 เดือน หลังจากนั้น จึงให้อาหารเสริมอื่นๆ ควบคู่กับนมแม่ ซึ่งเด็กที่รับประทานนมแม่จะมีโอกาสติดโรคอาการรุนแรงน้อยกว่าเด็กที่ไม่รับประทานนมแม่ อาการแทรกซ้อนน้อย นอกจากนี้ คือ การพาลูกไปรับวัคซีนพื้นฐานตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งเด็กที่รับประทานนมแม่ ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนก็จะขึ้นสูงกว่าเด็กที่ไม่รับประทานนมแม่ด้วย อย่างไรก็ตาม ที่น่าเป็นห่วงคือ ในปี 2558 ทั่วโลกยังมีเด็กเสียชีวิตจากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนถึง 9 แสนคน ปัญหาหนึ่งที่พบคือในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา มีลัทธิต่อต้านวัคซีนเป็นจำนวนมาก โดยเชื่อว่าการฉีดวัคซีนจะทำให้เป็นโรคมากกว่า และเห็นว่าลูกไม่ต้องฉีดวัคซีนก็ไม่ป่วย ไม่เป็นอะไร
     
พญ.สุธีรา กล่าวว่า วัคซีนคือ การเอาเชื้อโรคมาทำให้อ่อนฤทธิ์จนไม่ก่อโรค หรือเอาส่วนประกอบของเชื้อมาทำให้วัคซีน เพื่อให้ร่างกายจดจำเชื้อและสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันแล้ว เมื่อเจอโรคจริงๆ ก็จะไม่ป่วย หรือหากป่วยก็มีอาการไม่รุนแรง ไม่ได้ฉีดแล้วทำให้เกิดเป็นโรคตามที่เชื่อแต่อย่างใด ส่วนที่เห็นว่าไม่พาลูกไปฉีดวัคซีนก็ไม่ป่วยนั้น เป็นเพราะอานิสงส์ภูมิคุ้มกันใหญ่ในระดับชุมชนนั้นยังดีอยู่ เพราะคนในชุมชนต่างพากันฉีดวัคซีนหมด จึงช่วยป้องกันโรคโดยรวมได้ แต่หากคนมีความคิดเช่นนี้มากๆ ไม่ยอมไปฉีดวัคซีนก็จะทำให้เกิดปัญหาได้ โดยเฉพาะโรคระบาดที่เคยควบคุมไปได้แล้วก็จะกลับมา ทั้งฝีดาษ คอตีบ ไอกรน โปลิโอ เป็นต้น
     
“ความเชื่อเช่นนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงมาก เพราะการไม่ฉีดวัคซีนแม้ครอบครัวตัวเองจะไม่เดือดร้อน แต่กลับทำให้ครอบครัวอื่นเดือดร้อนไปด้วย ซึ่งเคยมีกรณีเกิดขึ้นแล้วในชุมชนแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกาเมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้น โดยครอบครัวที่ไม่ยอมพาลูกไปฉีดวัคซีนนั้น แม้ลูกจะติดโรคแต่เนื่องจากเป็นเด็กโต อาการจึงไม่รุนแรง แต่กลับเอาโรคมาติดเด็กเล็กอีกครอบครัวหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่มีความตั้งใจจะพาลูกไปฉีดวัคซีน แต่อายุของลูกยังไม่ถึงเกณฑ์จึงยังไม่ได้ฉีด ทำให้เด็กเล็กป่วยหนักและเสียชีวิตในที่สุด” พญ.สุธีรา กล่าวและว่า ที่น่าห่วงคือ ขณะนี้เริ่มมีแนวคิดต้านวัคซีนนี้เข้ามาในประเทศไทยแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ ก็มีคนส่งมาให้ดูว่ามีการแพร่แนวคิดไม่ฉีดวัคซีนกันในเฟซบุ๊ก ซึ่งแปลมาจากข้อมูลของแพทย์เพี้ยนๆ ในสหรัฐอเมริกาที่ต่อต้านการให้วัคซีน ตรงนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงมาก เพราะคนไทยกลุ่มหนึ่งก็พร้อมที่จะเชื่อโดยที่ไม่ไตร่ตรอง จึงอยากให้ตั้งสติ และหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะหลงเชื่อข้อมูลต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย


https://www.facebook.com/DramaAdd/posts/10154027637198291

ที่ป้าหมอคุยกับผู้สื่อข่าวในข่าวนี้ต้องระวังกันให้ดี
ตอนนี้มันเริ่มมีพวกลัทธิต้านวัคซีนกำลังเผยแพร่ความเชื่อ
ประมาณว่าวัคซีนฉีดแล้วเด็กป่วย เด็กเป็นออทิสติค ซึ่งเป็นเรื่องมโนทั้งเพ
แต่เริ่มมีพ่อแม่บางคนหลงเชื่อแล้ว ถ้ายอดพ่อแม่ที่ไม่พาลูกไปฉีดวัคซีน
เกิน 5% เมื่อไหร่ นั่นจะทำให้ภูมิคุ้มกันโรคในสังคมดรอปลงฮวบๆ แล้วโรคระบาดทั้งหลายแหล่ก็จะกลับมาอีกครั้ง

อย่าโง่เหมือนอย่างพ่อแม่ที่หลงเชื่อลัทธินี้ในอเมริกา
จนหัดระบาดไปทั่วประเทศนะครับ


https://www.facebook.com/DramaAdd/posts/10154032064288291

 หมอแมวเขียนเรื่องของลัทธิต่อต้านการฉีดวัคซีนในอเมริกาที่สร้างความฉิบหายให้ชาวบ้านครับ อันนี้เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคไอกรน

อย่างที่เคยเกริ่นว่าในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เจริญๆมีพวกหลงเชื่อลัทธินี้เยอะมาก จนคนที่ไม่ฉีดวัคซีนเยอะกว่า 5% ของประชากร ทำให้ไม่เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในสังคม พอเกิดโรคแพร่ระบาดมันก็จะกระจายเป็นวงกว้าง

และเหยื่อที่ซวยที่สุด คือเด็กทารกที่เพิ่งจะฉีดวัคซีนแล้วภูมิต้านทานยังถูกสร้างไม่พอ ก็จะติดเชื้อเป็นโรคได้ หนูน้อยคนนี้ติดเชื้อจนเป็นโรคไอกรนแล้วเสียชีวิต ด้วยวัยเพียง 32 วัน

ซึ่งเรื่องนี้ในประเทศอื่นๆ ที่ฉีดวัคซีนตามกำหนด แทบจะไม่พบเจอเลย
แต่ในประเทศที่เชื่อกันว่าเจริ้ญเจริญอย่างออสซี่กลับเกิดเหตุการณ์นี้ได้ น่าสลดมาก แม่ของเด็กน้อยคนนี้ก็อัพเหตุการณ์ดังกล่าวลงเฟซบุ๊คไว้อุทาหรณ์ เพื่อเตือนพ่อแม่คนอื่นๆว่า พาลูกไปฉีดวัคซีนให้ครบเถอะ อย่าให้เป็นแบบลูกเธอเลย

ปรากฏว่าเฟซเธอโดนกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีนหรือที่เรียกว่า Anti-Vaxxer รุมถล่มยับแถมยังรีพอรทรัวๆ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมันกระเทือนความเชื่อของพวกมัน


https://www.facebook.com/HmxMaew/photos/a.398936216867904.96187.398912630203596/982740731820780/?type=3&fref=nf

นี่คือหนูน้องไรรี่ย์ ... หนูน้อยที่ต้องต่อสู้อย่างเข้มแข็งกับโรคไอกรน

หลังจากอุ้มท้องมานาน ในเดือนกุมภาพันธ์ Catherine Hughes ก็ได้ให้กำเนิดเด็กชายตัวน้อยๆ เธอตั้งชื่อให้ลูกของเธอว่า Riley

หลังจากการคลอดและพักที่บ้าน วันหนึ่งเธอสังเกตว่าลูกของเธอเริ่มมีอาการไอ
และเมื่ออาการไอมากขึ้น เธอและสามีพาไรรี่ย์ไปหาหมอ หมอตรวจและพบว่าเด็กน้อยเป็นโรคไอกรน

ไอกรนเป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่ติดต่อผ่านทางการไอจาม เชื้อจะลงไปที่ทางเดินหายใจและทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรง และในเด็กที่ป่วย 1 ใน 100 คนจะเสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อนทางปอด เนื่องจากระบบภูมิต้านทานเด็กจะเริ่มพอต่อการกระตุ้นด้วยวัคซีนนี้ได้ที่ 2 เดือน ...

ดังนั้นในบางกรณีแพทย์จะให้วัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันของมารดาตั้งแต่ตั้งครรภ์ ซึ่งภูมิต้านทานของแม่จะผ่านไปที่ลูกได้ 80% รวมไปถึงการที่ให้ลูกกินนมแม่ ก็จะได้ภูมิต้านทานไประดับหนึ่ง

Catherine ให้หมอฉีดทั้งวัคซีน และให้ไรรีย์ดื่มนมแม่

แต่ไรรี่ย์ คือเด็ก 20% ที่ไม่ได้ภูมินั้น ... และเขาก็ติดเชื้อนี้ลงในปอด

การรักษาที่ทำได้นอกจากการให้ยาฆ่าเชื้อคือการให้ออกซิเจนและประคองหัวใจและปอด
เด็กชายน้อยไอหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ระดับออกซิเจนในเลือดแย่ลง จนกระทั่งต้องให้ออกซิเจนตลอดเวลา และจากนั้น ไรรี่ย์ก็เริ่มเหนื่อยมากขึ้น เด็กน้อยต้องถูกใส่ท่อช่วยหายใจ

ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก็คือ ไรรี่ย์ที่หลับตาพริ้มบนเตียง สายน้ำเกลือและยาระโยงระยางเข้าไปยังร่างเล็กๆ Greg ผู้พ่อที่โน้มตัวลงไปกอดลูก และ Catherine ในสเวตเตอร์สีเทายืนร้องไห้ข้างเตียง กับหัวใจดวงน้อยๆ ที่เต้นเกือบ 200 ครั้งต่อนาที

ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน หัวใจดวงน้อยก็หมดแรงต่อสู้ ค่อยๆเต้นช้าลง ช้าลง จนหยุดเต้น ด้วยวัยเพียง 32 วัน

Catherine ไม่ปล่อยให้ความเสียใจมาปกคลุมเธอ เธอทราบดีว่าในออสเตรเลียมีพ่อแม่จำนวนมากที่ไม่ได้ให้ลูกฉีดวัคซีน และเธอไม่อยากให้มีคนต้องมาเสียใจเหมือนที่เธอเป็น เธอจึงตัดสินใจบอกเล่าเรื่องราวของลูกของเธอให้สังคมได้รู้ผ่านทางเฟสบุ๊ค เธอโพสท์การไอของลูกของเธอ ร่างน้อยๆที่ไออย่างน่าสงสาร ..... เพราะในสังคมปัจจุบันที่ฉีดวัคซีนมาก ทำให้หลายคนไม่รู้ความน่ากลัวของโรคนี้

กระแสตอบรับต่อคลิปนั้นดีมาก แต่ชั่วข้ามวัน ก็เกิดกระแสตีกลับ
กลุ่มต่อต้านวัคซีน หรือ Anti-Vaxxer ได้ระดมโจมตีเฟสบุ๊คของเธอ

บางคนกล่าวหาว่าเธอโกหก
บางคนบอกว่าไรรี่ย์ไม่มีตัวตนอยู่จริง
บางคนด่าเธอเป็นสุนัขตัวเมีย
บางคนประชดว่าแล้วทำไมเธอไม่ให้วัคซีนกับลูกล่ะ (คือเด็กอายุไม่ถึงกำหนดการฉีด)
บางคนบอกว่า ไอกรนป้องกันได้ด้วยการให้แม่ฉีดวัคซีน และให้นมลูก ที่ลูกตายก็เพราะตัวเธอไม่ใช่เพราะคนต่อต้านวัคซีน (ซึ่งCatherine ก็ฉีดวัคซีนแล้วและให้นมจากอกของตนแก่ลูก)

หลังจากการโจมตีอย่างหนักได้ไม่นาน กลุ่มคนที่เห็นอกเห็นใจแม่ผู้สูญเสีย ก็ระดมกำลังถล่มfacebookและblog ของคนใจร้ายจนเละ

บางคนขอโทษ
บางคนเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนรูปfacebook
บางคนบอกว่านั่นไง แค่โพสท์ด่าว่าBitch ก็มีการถล่มหนักแบบผิดปกติใน24ชม. แปลว่ามีขบวนการอยู่เบื้องหลัง

จากนั้นดราม่าก็สงบไป

............

สิ่งหนึ่งที่ผู้ต่อต้านวัคซีนใช้ในการปฏิเสธวัคซีนไอกรนก็คือ มันไม่ได้ผล โรคไม่ถึงตาย แค่ไอธรรมดา

เราเห็นแล้วว่ามันไม่ใช่ไอธรรมดา ... เพราะเด็ก 1 ใน 100 จะเสียชีวิต (มากกว่าไข้เลือดออก)

สำหรับวัคซีน ได้ผลไหม ... ได้ แต่ไม่ 100%
เพราะในตอนที่ฉีดครบใหม่ๆ ภูมิจะขึ้น 98-100%
และหลังจากนั้นจะลดลงเรื่อยๆ ... และในผู้ใหญ่ อาจจะเหลือภูมิต้านทานแค่ 30%

แต่ในผู้ใหญ่ การเป็นไอกรนมักไม่ถึงตายเหมือนในเด็ก .... ยุคนึงเราเลยไม่ได้เน้นเรื่องการกระตุ้นภูมิกัน

แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง

1. ฉีดวัคซีนในเด็กตามกำหนด ... ไอกรนจะเริ่มเข็มแรกที่ 2 เดือน
2. ในผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่อการตายจากการไอมากๆ ก็ถามหมอเรื่องฉีดวัคซีนนี้(จะเป็นอีกชนิด แรงน้อยกว่าที่ฉีดในเด็ก)
3. ในผู้ใหญ่ที่ไอ อย่าไปใกล้เด็กเล็กที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ... เพราะคุณอาจจะไม่ได้เป็นหวัด แต่อาจจะเป็นคน 70% ที่ไม่มีภูมิและกำลังเป็นไอกรน ...
4. ในผู้ที่มีความเชื่อเรื่องไม่ฉีดวัคซีน และไม่ฉีดให้ลูกหลาน ไม่ควรให้ลูกหลานไปคลุกคลีกับเด็กเล็กในวัยยังไม่ได้ฉีดวัคซีน และหากเริ่มป่วย ต้องให้ลูกหยุดอยู่บ้านทันที
5. ในผู้ที่ให้ลูกหลานฉีดวัคซีนแล้วประสบปัญหาผลข้างเคียงจากวัคซีน ก่อนที่จะตัดสินเลิกฉีด ควรปรึกษาแพทย์หรือกุมารแพทย์ก่อน


* * * * * * * * * *
keywords
ลัทธิต่อต้านวัคซีน, anti-vaxxer

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น