วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หนึ่งเดือนกับคินเดิลสี่ : ชีวิตติดคินเดิล

หลังจากที่ซื้อ Kindle 4 (ชื่อที่ทางเว็บ Amazon เรียก คือ Kindle Basic) ไปเมื่อ 4 เมษายน ที่งานสัปดาห์หนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์ ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว เลยถือโอกาสนี้มาบันทึก "ชีวิตติดคินเดิล" เก็บไว้อ่าน ที่จริงกะว่าจะเขียนไว้ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ไปสอยมาแล้วล่ะ แต่ติดโน่นติดนี่ เลยกั๊กไว้ก่อน




Kindle นี่เป็นสิ่งที่อยากได้มาหลายปีล่ะ เริ่มสนใจจริงจังตอนออกรุ่น DX (ราว 3 ปีก่อนล่ะมั้ง) แต่เนื่องจากราคายังค่อนข้างสูงมาก เลยรอมาเรื่อยๆ เพราะการที่จะซื้อเครื่องอ่านอีบุ๊กราคาร่วมหมื่นห้าพันบาท เพื่ออ่านหนังสือภาษาอังกฤษนั้น คิดว่าเป็นการซื้อสิ่งของที่ค่อนข้างฟุ่มเฟือยไปซักหน่อย ราคาขนาดนั้นเอาไปซื้อหนังสือเป็นเล่มๆ อ่านได้เพียบเลยเชียวนะ -_-'a

จากที่ตามข่าว Kindle มาตลอด ก็เลยรู้ว่า Amazon นั้นวางยุทธการหมาก Kindle ไว้ว่าจะลดราคาลงเรื่อยๆ จึงยังทำให้ยังมีความสนใจที่จะสรรหามาไว้ในครอบครองอยู่ และจากข้อมูลที่ตามเก็บทำให้รู้ว่าเจ้าคินมีขีดจำกัดอะไรขนาดไหนและเราจะเอามาใช้อะไรได้บ้าง

ตั้งแต่ต้นปี เห็นราคา Kindle ตัวใหม่ขายกันอยู่ 5-6,xxx ก็ยังคิดอยู่ว่าจะซื้อ แต่ก็ยังดูๆ ก่อน พอต้นเมษายน เห็นที่นึงขายอยู่ 3,800 และเขาจะไปออกบูธที่งานสัปดาห์หนังสือศูนย์สิริกิติ์ ก็เลยถือโอกาสไปลองของจริงด้วย เพราะยังไม่เคยได้เห็นได้จับตัวเป็นๆ ซักที

ตอนจับตัวจริงของ Kindle 4 นี่รู้สึกว่า "หนัก" ผิดคาด เพราะตัวที่ร้านเอามาโชว์นั้นใส่ cover แบบมีไฟฉายส่อง พอถอด cover ออกแล้วกะๆ น้ำหนักดู รู้สึกว่าเจ้่า cover นี่หนักกว่า Kindle ซะอีก -_-'a

พอเอา cover ออก ไปแล้วเนี่ย รู้สึกว่า Kindle 4 นั้น "เบา" ผิดคาด น้ำหนักไม่ถึง 2 ขีดดี (ประมาณ 170 กรัม) เพราะรุ่นนี้ตัดชิ้นส่วนออกไปเยอะ เพื่อลดต้นทุน คือตัดทั้งแป้นพิมพ์ ทั้งลำโพง ทั้งขนาดแบต เลยทำให้เบาลงไปจากรุ่นก่อนอีกพอควร (รุ่นก่อนก็ไม่ได้หนักมากเท่าไหร่หรอกนะ) เลยทำให้เป็นข้อดีเรื่องขนาดและน้ำหนัก รวมไปถึงราคาด้วย ฮ่า

ก่อนไปดูของเนี่ย ยังลังเลอยู่ว่าจะซื้อรุ่นไหนดี ระหว่าง Basic (คือรุ่น 4) กับ Touch หลังจากที่ได้จิ้มๆ กดๆ ไปพักนึง ได้ข้อสรุปสำหรับตัวเองว่า รุ่น Touch นั้นเลือกเข้าเมนูอะไรต่างๆ ได้สะดวกกว่า เพราะใช้การจิ้มจอได้เลย แต่ว่าการปัดการย่อขยายนั้นไม่ลื่นเหมือนกันพวก tablet ทีเดียวนัก และการเปลี่ยนหน้าต้องใช้อีกมือนึงมาจิ้มเปลี่ยน ใช้มือเดียวไม่ถนัด ส่วนรุ่น Basic นั้นสะดวกเวลาเปลี่ยนหน้าตอนอ่าน เพราะใช้มือข้างเดียวถือได้อ่านได้เปลี่ยนหน้าได้ แต่กดเมนูอะไรๆ ได้ลำบากกว่าพอควร

เมื่อได้พิจารณาแล้ว คิดว่าในการอ่านหนังสือเนี่ย เราเปลี่ยนหน้าบ่อยกว่าเลือกเมนูแน่ๆ เลยตัดสินใจเลือกเป็นรุ่น Basic มา

หลังจากซื้อมาแล้ว ถึงได้รู้ข้อมูลว่าที่ Touch นั้นมันไม่ลื่นเหมือน tablet เพราะใช้เทคโนโลยีคนละแบบ ถ้าเป็นจอสัมผัสแบบ tablet หรือ e-book reader ค่ายอื่นๆ นั้นจะมีการสะท้อนแสงมากกว่า แต่ Kindle Touch เลือกใช้เทคนิคแบบ infrared ตรวจจับตำแหน่งสัมผัส ทำให้ยังใช้หน้าจอแบบเดิมได้อยู่ ซึ่งแสงสะท้อนจะน้อยกว่า

ตอนแรกตั้งใจจะซื้อ cover หรือคลิปไฟมาด้วย แต่ cover ค่อนข้างแพงและหนัก รุ่นที่มีไฟในตัวนี่ราคา 2,900 เลยเชียว ส่วนคลิปไฟเฉยๆ นี่ราคา 300 แต่ตัวหนีบมันใหญ่มาก บังหน้าจอไปพอประมาณ เลยไม่ซื้อ -_-'a

สรุปว่าจ่ายค่า Kindle 4 ไป 3,800 เป็นรุ่นที่จะมีโฆษณาติดมาด้วย และติดฟิลม์เพิ่มอีก 100 พอซื้อกลับมาหลังจากนั้นไม่กี่วันก็ไปเจอเจ้าอื่นขายอยู่ที่ 3,400 แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายนะ เพราะราคาต่างกันไม่มาก


ตอนเห็นกล่องก็ไม่แปลกใจ เพราะว่าเคยเห็นจากที่คนอื่นเขารีวิวกันไว้แล้ว ว่ากล่องไม่มีอะไรเท่าไหร่


เปิดกล่องมาก็มีอยู่แค่นี้เองแหละ ตัวเครื่องกับสายโอนถ่ายข้อมูล (ที่เอาไว้ชาร์จกับคอมฯ ด้วย) แต่ไม่มีตัวปลั๊กเอาไว้เสียบ ไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้เสียบชาร์จบ่อย

ถ้าสั่งซื้อเองจาก Amazon นี่ให้เราเลือกว่าซื้อประเทศอเมริกา ก็จะได้แถมปลั๊กเสียบชาร์จด้วยนะ ^^

เรื่องรีวิว คงไม่ต้องเขียนแล้ว เพราะมันออกมาหลายเดือนแล้ว มีรีวิวออกมาเพียบ ทั้งพากย์ไทยพากย์อังกฤษ ก็ขอบันทึกความรู้สึกหลังจากที่ได้ใช้มาซักพักละกัน

ขนาดเครื่องค่อนข้างเล็ก (6.5 x 4.5 นิ้ว หนา 0.34 นิ้ว) ถือพอดีฝ่ามือของตัวเอง ถ้าเป็นผู้หญิงมือเล็กอาจถือแบบนี้ไม่ได้ แต่ก็ยังถืออ่านมือเดียวได้สบายๆ อยู่ดี


ลองวางเทียบกับหนังสือการ์ตูนและพ็อคเก็ตบุ๊กเพื่อให้เห็นภาพ

ด้วยความที่ขนาดเล็กแบบนี้ (ขนาดตัวเครื่องเล็กกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ยังมีขนาดหน้าจอ 6 นิ้วเหมือนเดิม) ข้อดีคือพกพาสะดวก กางเกงบางตัวนี่ใส่กระเป๋าได้สบายอยู่ ผมเองก็ใส่กระเป๋ากางเกงเหมือนกัน แต่เป็นกางเกงแบบที่มีกระเป๋าที่ต้นขานะ เพราะถ้าใส่กระเป๋าบนหรือกระเป๋าหลัง อาจเผลอนั่งทับหักได้ ระวังให้ดี ^^'a




น้ำหนักเบา (ประมาณ 170 กรัม) ทำให้ถืออ่านหนังสือนานๆ แล้วไม่ค่อยเมื่อยมือ ทุกวันนี้เปิดอ่านพวกพ๊อกเก็ตบุ๊กเล่มหนาๆ ซักพักก็เมื่อยแย่แล้ว -_-'

จากความรู้สึกส่วนตัว คิดว่าพ๊อคเก็ตบุ๊กนี่หนา 200 หน้าก็พอ หรือถ้ามากก็อย่าให้เกิน 300 หน้า นี่กำลังดี

ด้วยความที่จอภาพมีขนาด 6 นิ้ว การอ่านพวก pdf นี่เลยค่อนข้างไม่สะดวกซักหน่อย โดยเฉพาะที่เป็นขนาด A4 หรือพวกหนังสือที่สแกนมา คือยังพออ่านในแนวนอนได้บ้าง ตัวหนังสือจะเล็กไปหน่อย

และถ้าใช้อ่านการ์ตูนสแกน จะอ่านยากนิดนึง ยิ่งถ้าสแกนหน้าคู่นี่เลิกเลย


แต่ถ้าเป็นไฟล์ pdf ที่เราทำเองให้มีขนาดเหมาะสมกับหน้าจอ Kindle ก็จะอ่านได้สบายๆ ล่ะ ส่วนจะตั้งขนาดหน้าจอเท่าไหร่ ใช้ฟอนต์แบบไหน ต้องไปลองกันเอาเองว่าแบบไหนตัวเองจะอ่านสบายตา

ที่ทำไว้คือใช้หน้ากระดาษ A7 ระยะขอบบนล่าง 0.3-0.4 ซ.ม. ระยะขอบซ้ายขวา 0.1 ซ.ม. ฟอนต์ Arial Unicode MS ขนาด 10 pt. ไว้จะเขียนเรื่องนี้อีกทีภายหลังนะ


หนังสือที่ซื้อจาก Amazon เป็นไฟล์ mobi ซึ่งจะย่อขยายตัวอักษรได้ค่อนข้างยืดหยุ่น และเปิดพจนานุกรมหาคำศัพท์ได้ แต่ถ้าเป็น pdf จะทำไม่ได้ แต่ว่าหนังสือที่ซื้อจาก Amazon จะมีแต่ภาษาอังกฤษเท่านั้นในตอนนี้

พจนานุกรมที่แถมมากับเครื่อง เป็นพจนานุกรม Eng-Eng (New Oxford American Dictionary)
ถ้าต้องการพจนานุกรมแบบ Eng-Thai ตัวฟรี ไปโหลดได้จากนี่ http://www.facebook.com/readthailand/posts/165492223479849

ถ้าหากทำหนังสือภาษาไทยเป็นแบบ mobi ก็อ่านได้เหมือนกัน แต่จะขัดใจตรงที่แบบของตัวหนังสือหน้าตาไม่สวยเป็นอย่างยิ่ง ตัดคำไทยไม่ได้ และวรรณยุกต์ซ้อนทับกับสระบน คนส่วนใหญ่คงไม่ชอบใจ แต่ว่าผมเองอ่านก็โอเคนะ ไหวอยู่

กะว่าจะ hack ระบบ แล้วแก้ฟอนต์ไทยใหม่เพื่อให้อ่านง่ายขึ้นและแก้ปัญหาวรรณยุกต์ทับสระบน แต่ไม่รู้ว่าจะได้ทำเมื่อไหร่เหมือนกัน


หน้าจอเป็นแบบ E Ink Peal ไม่มีแสงในตัว และแทบไม่สะท้อนแสง (ถ้าไม่เอาไฟไปส่องตรงๆ) ทำให้อ่านที่สว่างจ้าสบาย แต่อ่านลำบากในที่สลัว ทางแก้คือซื้อ cover ที่มีไฟส่อง หรือใช้ไฟฉายคาดหัวตอนอ่าน ฮ่า

ตั้งใจว่าจะดัดแปลงทำรางไฟติดกับตัวเครื่องเอาไว้สำหรับอ่านในรถตอนกลางคืน ไว้ทำเมื่อไหร่จะเอามาโชว์ให้ดูกัน

รู้สึกว่าแสงในบ้านที่สว่างไม่มากนั้นเราอ่านหนังสือสบายๆ แต่ถ้าเป็น Kindle จะค่อนข้างมืดไปนิด 

เริ่มยาวแฮะ ที่เหลือเอาไว้ต่อตอนหน้าละกัน


สรุปสำหรับการใช้งาน


  • อ่านอังกฤษแบบ mobi นี่สะดวกมาก
  • อ่านไทยแบบ pdf ทำเอง จัดหน้าสำหรับ kindle อ่านง่ายดี
  • อ่านไทยแบบ mobi ค่อนข้างแย่
  • อ่าน pdf ที่ทำกันทั่วไป (หน้า A4) หรือมีตารางเยอะๆ ไม่เหมาะ
  • อ่าน pdf สแกน พออ่านได้แต่ค่อนข้างลำบาก ถ้าสแกนหน้าคู่ จบกัน
  • อ่านการ์ตูน เหนื่อย บางเรื่องพออ่านได้

ดังนั้นถ้าเน้นอ่านการ์ตูนสแกน หรือหนังสือสแกน ใช้เป็น tablet เปิดอ่านจะได้อรรถรสกว่านะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น