วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568

[Linux] แสดง/ซ่อน Grub Menu ตอนเปิดเครื่อง

ตอนติดตั้ง Linux Mint 22.1 (รวมถึงที่เคยติดตั้ง elementary OS ก่อนหน้านี้ด้วย) เวลาที่บูตเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา มันจะมีเมนูตัวเลือกว่าจะเข้าระบบแบบไหน แต่ตอนติดตั้ง Linux Mint 22.2 ในเครื่องใหม่ มันไม่แสดง Grub Menu ขึ้นมา

ที่จริงการที่ไม่มี Grub Menu ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการใช้งานหรอก หากต้องการเรียกให้แสดงก็แค่กดแป้นพิมพ์ Shift รัวๆ ไว้ตอนที่เปิดเครื่อง (BIOS/Legacy) หรือปุ่ม Esc key (UEFI) เมนูก็จะแสดงออกมาให้เห็น

วิธีตั้งค่าคือเข้าไปแก้ไขไฟล์ /etc/default/grub โดยจะใช้ editor ตัวใดก็ได้ แต่ต้องใช้สิทธิของ root หรือพิมพ์เพื่อแก้ไขใน terminal เช่น

sudo xed /etc/default/grub

หรือ

sudo gedit /etc/default/grub

หรือ

sudo  nano /etc/default/grub


ไปที่บรรทัด GRUB_TIMEOUT_STYLE ถ้าต้องการให้แสดงเมนูก็ตั้งค่าเป็น

GRUB_TIMEOUT_STYLE=menu

แต่ถ้าไม่ต้องการให้แสดงเมนู ก็ใส่ค่าเป็น

GRUB_TIMEOUT_STYLE=hidden

จากนั้นบรรทัด GRUB_TIMEOUT= ให้ใส่เป็นตัวเลขวินาทีที่จะให้แสดงเมนู มันจะนับถอยหลังไปเรื่อยๆ หากเราไม่ได้กดปุ่มตัวเลือกอะไร มันก็จะบูตเข้าระบบอัตโนมัติ เช่น

GRUB_TIMEOUT=10

คือรอนับถอยหลัง 10 วินาที

บรรทัดไหน หากไม่ต้องการให้ทำงาน ก็ให้ใส่ # ไว้ต้นบรรทัด


แก้ไขเสร็จเรียบร้อยก็อัปเดต โดยพิมพ์ใน terminal ว่า

sudo update-grub

เท่านี้ก็เป็นเสร็จสิ้น


[ Reference ]


วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ติดตั้ง Linux Mint บน USB flashdrive

ปกติแล้ว Linux Mint USB flashdrive (รวมถึง Linux ดิสโทรอื่นๆ ด้วย) เวลาบูตเข้ามาใช้งานในแต่ละครั้ง พวกการอัปเดตและโปรแกรมที่ติดตั้งเพิ่มเข้าไปจะถูกลบทิ้งหมด วิธีการที่จะทำให้เก็บพวกอัปเดตหรือโปรแกรมที่ติดตั้งใหม่เอาไว้ จะมี 2 วิธีด้วยกันคือ

1. ทำเป็น Persistent Live USB

2. ติดตั้ง Linux ลงบน USB อันใหม่


1. ทำ Persistent Live USB

ตอนใช้ Rufus เพื่อทำ USB สำหรับบูต ให้ติ๊กตัวเลือก Create a Persistent USB ไว้ด้วย



2. ติดตั้งลงบน USB อันใหม่

ต้องมี USB flashdrive ที่มีความจุมากพอสำหรับที่เราจะใช้งาน แล้วติดตั้งไปตามขั้นตอนปกติ



วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ปรับแต่งลูกเล่นของ Linux Mint ด้วย Extension

สมัยเมื่อนานมากแล้ว เคยเห็น Linux จะมีลูกเล่นเวลาจัดการกับหน้าต่าง (ย้าย, ย่อ, ขยาย) ด้วย compiz ให้ดูวูบวาบหวือหวา ก่อนหน้านี้เคยอยากลองใช้เหมือนกัน แต่ตอนหาข้อมูลแล้วเข้าใจว่าต้องใช้ KDE แต่ด้วยความที่ใช้ Gnome จนเคยชิน (elementary OS, Linux Mint) ก็เลยขี้เกียจจะย้ายดิสโทร

เพิ่งมาเจอว่าที่จริง Linux Mint สามารถติดตั้ง Extension เพื่อใช้อะไรแบบนี้ได้ด้วย


ตัว extension ที่ลองเล่นแล้วชอบมีอยู่ 3 ตัว คือ


1. Burn My Windows

  • Open window effect : Apparition
  • Close window effect : Energize B
  • Minimize window effect : TV Effect
  • Unminize window effect : TV Glitch


2. Compiz windows effect

  • Effect style : Exaggerated


3. Opacify Windows

  • Opacity : 200

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ซิมเทพทรู

เมื่อสามปีก่อน (2565) ซื้อซิมเทพทรูมาใช้ ซึ่งก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าเป็นซิมอายุ 1 ปี ใช้ครบแล้วก็ต้องไปซื้อซิมใหม่ 

โปรที่ใช้คือเน็ต 60 GB (FUP 128 Kbps) + โทรฟรีทุกเครือข่าย (ต่อเนื่อง 15 นาที) ซึ่งจะต่ออายุอัตโนมัติให้ทุกเดือนจนครบปี ราคา 1,590 บาท

ตอนนั้นหลังจากใช้จนเกือบครบปี ตอนใกล้หมดเวลา (15 มิ.ย. 2023) ก็มี sms เด้งว่าต่ออายุโปรได้ เลยเติมเงินแล้วกดต่ออายุไป (*900*8435#) ซึ่งการต่ออายุทำให้เบอร์ที่เราใช้ยังคงเป็นเบอร์เดิม คนที่บันทึกเบอร์เราไว้ก็ไม่ต้องเปลี่ยนเบอร์ (โปร 100 GB FUP 128 Kbps + โทร)

พอใช้ครบอายุรอบสองก็รอ sms มาให้กดต่ออายุอีก รอเป็นสัปดาห์ก็ไม่ขึ้นมาเสียที ยังคิดๆ อยู่ว่าคงต้องไปซื้อซิมใหม่มาเปลี่ยน แต่ยังไม่ทันได้ซื้อก็มี sms มาต่ออายุพอดี (หา sms ไม่เจอแล้วว่าต้องกดรหัสอะไร)

คราวนี้ซิมหมดโปรไปตั้งแต่สิงหาคม ก็รอ sms อีก แต่ไม่มาเสียที จนคิดอยู่ว่ารอบนี้คงต้องเปลี่ยนซิมแล้ว แต่ด้วยความที่ช่วงนี้ไม่ได้ใช้เน็ตมือถือเท่าไหร่ เลยยังไม่ได้ไปซื้อเสียที และเคยพยายามค้นหา sms ที่แจ้งให้ต่อโปรว่าต้องกดอะไรแต่ก็หาไม่เจอ (เพิ่งมาหาเจอตอนเขียนบล็อกนี้นี่แหละ)

เพิ่งไม่นานนี้ก็ไปเจอว่าที่จริงแล้วซิมเทพทรูสามารถกดต่ออายุโปรได้ด้วยการกด *900*8434# เป็นโปร 15 Mbps

ตอนเติมเงิน (ผ่าน True Money Wallet) เพื่อจะสมัครโปรซิมเทพ ก็มี sms เด้งว่าได้รับสิทธิ์ เน็ต 1 GB 30 วัน กดสมัครฟรีที่ *777*780# เด้งขึ้นมา เลยกดสมัครไปก่อน ยังไม่ได้ต่อโปรซิมเทพ ไม่รู้ว่าถ้ากดรหัสต่อโปรเดิมจะยังได้อยู่อีกไหม

คราวนี้เขียนบล็อกบันทึกกันลืมว่าต้องกดอะไร ทีหลังมาค้นจะได้หาได้ง่ายๆ

เช็คยอดซิมทรู *123#

เว็บตรวจสอบข้อมูลโปรของเรา เข้าไปที่ http://tmvh.co/check

ซื้อวันของซิมทรู

30 วัน 3 บาท *934*30#

90 วัน 9 บาท *934*90#

180 วัน 150 บาท *934*180#


[ Keyword ]

เติมเงิน, โปรเน็ต, ซิมเทพ, ซิมทรู, ซิมเทพทรู, เน็ตสุดคุ้ม

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2568

[นิยาย] หิวแสง Give me the Spotlight

ก่อนหน้านี้เคยอ่านนิยายจีน ชื่อเรื่องอะไรจำไม่ได้ล่ะ (หาหนังสือที่อ่านไม่เจอแล้ว) สาเหตุเกิดจากดูซีรีส์สั้นแนวตั้ง ที่เป็นพล็อตซ้ำๆ คือมีพระเอกประธานฮั่ว กับนางเอกที่มีปากที่พูดเรื่องร้ายๆ แล้วจะเป็นจริง ซึ่งมีหลายเรื่องโดยเปลี่ยนตัวแสดง เปลี่ยนเนื้อเรื่องย่อย เปลี่ยนตอนจบ แต่โครงเรื่องหลักยังเหมือนเดิม ด้วยความสงสัยเลยพยายามไปหาฉบับนิยายมาอ่าน พอได้อ่านจบ ก็เลยเข้าใจเลยว่ามุกวางยา มุกถ่ายคลิป และอีกสารพัดที่เห็นจากซีรีส์แนวตั้งทั้งหลาย ก็มาจากนิยายนี่เอง

แล้วก็เพิ่งได้มาอ่านเรื่อง 重生之影后再临 (ฉบับแปลไทยชื่อ หิวแสง Give me the spotlight) เขียนโดย 千山茶客 (เชียนซานฉาเค่อ) ก็ยิ่งตอกย้ำถึงมุกทั้งหลายที่เห็นอยู่ในซีรีส์สั้นเข้าไปอีก

ความเห็นส่วนตัวคือบทเนื้อเรื่องค่อนข้างขาดความเป็นไปได้จริงในด้านความสมเหตุสมผลและเป็นเหตุเป็นผล ออกแนวนิยายขายฝันของสาวๆ

เนื้อหาส่วนของแวดวงบันเทิงในนิยาย เหมือนคนเขียนไม่ได้มีข้อมูลการทำงานจริงของวงการนี้เลย คิดเองเออเองหมด เนื้อหาส่วนการล้างแค้นหลังจากได้มาเกิดใหม่ก็แทบไม่มีอะไร ความเห็นสำหรับนักอ่านชายคือผ่านเรื่องนี้ไปอ่านเรื่องอื่นน่าจะตรงจริตมากกว่า (แต่นักอ่านหญิงคงชอบแหละ)

พอมาเห็นชื่อไทยอีก รู้สึกว่าชื่อ ‘หิวแสง’ นี่ตั้งไม่เข้ากับเนื้อเรื่องเท่าไหร่ ส่วนชื่อจีนถ้าแปลเป็นไทยก็ประมาณว่า ‘เป็นราชินีจอเงินอีกครั้งหลังเกิดใหม่' (重生之影后再临)

อ่านแล้วก็สงสัยว่านิยายตลาดผู้หญิงของทางจีน มุกที่ใช้ในเรื่องที่เป็นนิยายเซ็ตติ้งโลกปัจจุบันคือเป็นแบบนี้กันเยอะเลยเหรอ เพราะปกติไม่ได้อ่านแนวนี้เท่าไหร่ ที่เคยอ่านของนักเขียนหญิงจีน อย่างเช่นเรื่อง ผลาญ, ซีรีส์เพชรยอดคทา, จันทราอัสดง, ข้านี่แหละองค์หญิงสาม ฯลฯ ก็ไม่เจอมุกอะไรทำนองนี้

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2568

[เล่าหนังหลังดู] The Flash (2023) เดอะแฟลช

เพิ่งได้ดู The Flash (2023) จาก NetFlix ช้ากว่าชาวบ้านเขาไปเป็นปี ตัวหนังถือว่าดูได้อยู่นะ แม้จะมีบางจุดที่รู้สึกขัดๆ อยู่บ้าง โดยรวมก็โอเคแหละ สนุกดี

ก่อนหน้านี้แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนัง รู้แค่ว่ามีแบร์รี่ 2 คนอันเกิดจากการย้อนเวลามาเจอกัน เลยเป็นการดูแบบที่ไม่ต้องกลัวการสปอยล์ แถมยังไม่เคยดูซีรีส์เรื่องนี้ด้วย

ส่วนแอคชันของแฟลชกับแบทแมนในตอนเปิดเรื่อง ชอบเทคนิคและมุมกล้อง เนื้อเรื่องหลังจากย้อนเวลาไปกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่เวอร์ชันโดนเนิร์ฟซะงั้น แบทแมนกลายเป็นตาลุงแก่ๆ ที่เกษียณ แฟลชในอดีตก็เป็นเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งได้พลังมาหมาดๆ แฟลชตัวปัจจุบันที่มีประสบการณ์ด้านพลังกลับกลายเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีพลังพิเศษ

จุดแบบไม่เป็นเหตุเป็นผลมีเป็นระยะๆ แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่สะดุดใจตอนดูอยู่นิดหน่อยเท่านั้น

หนังเล่นประเด็นการย้อนเวลาที่ต่างไปจากมาร์เวล โดยมาร์เวลจะกลายเป็นจุดแยกแตกกิ่งของไทม์ไลน์ แต่เรื่องนี้เปลี่ยนไทม์ไลน์ทั้งเส้น ทั้งอดีตและอนาคต โดยอาจจะมีบางช่วงเวลาของบางไทม์ไลน์ที่มาตัดทับซ้อนกัน

คาร่ากับคาเอลถูกส่งออกมาตั้งแต่เป็นทารก แล้วทำไมตอนรู้ว่าคาเอลตาย ถึงเสียใจและโกรธมาก?

ฉากเจอแม่ช่วงท้ายเรื่อง ปูเพื่อให้เศร้าซึ้ง แต่รู้สึกแปลกๆ ตรงที่เจอคนไม่รู้จักกัน บอกว่ามาหาแม่ แล้วต้องเศร้าจนร้องไห้?

ยังมีอีกหลายจุด แต่ไม่พูดถึงล่ะ โดยรวมดูสนุกอยู่

ซูเปอร์เกิร์ลคาร่าดูเท่ดี ♥


[ Keywords ]

The Flash, Superman, Batman, Supergirl, Aquaman, Wonder Woman

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2568

[เล่าหนังหลังดู] นักรบมนตรา ตำนานแปดดวงจันทร์ Mantra Warrior (2023)

อนิเมชันฟอร์มยักษ์ของไทย ที่เอารามเกียรติ์มาเล่าในธีมไซไฟอวกาศ นักรบมนตรา : ตำนานแปดดวงจันทร์ (Mantra Warrior) เขียนไว้นานแล้ว แต่ลืมเอามาลงบล็อก ไปคุ้ยเจอ เลยเอามาแปะใหม่ ตอนนี้มีฉายทาง NetFlix ใครสนใจก็ไปดูกันได้


[บันทึกบล็อก 16 ตุลาคม 2566]

เป็นบันทึกความรู้สึกส่วนตัวหลังจากดู ไม่ใช่วิจารณ์หนัง ตอนที่เข้าฉายแล้วคนเชียร์กันเพียบ ซึ่งส่วนตัวแล้วไม่เชื่อว่าจะยอดเยี่ยมขนาดนั้น เพราะหนังไทยที่เคยดูมามักมีปัญหาบทหนังขนาดหนัก จึงไม่คาดหวังอะไรแม้แต่น้อยเพราะมั่นใจว่าผิดหวังแน่ ดังนั้นหลังจากดูแล้วจึงไม่ผิดจากที่คาดไว้เท่าไหร่

  • คาแรคเตอร์ดีไซน์เรื่องหน้าตา มีแค่วายุคนเดียวที่พอจะดูดี ที่เหลือหน้าตาจืดมาก ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย
  • ชุดของแต่ละตัวละคร ไม่ได้แย่นะ แต่ยังไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
  • ชุดของราม ลักษณ์ สีดา ดูไม่เข้าพวกมากๆ โดดจากตัวละครอื่นๆ
  • ความเป็นเทคโนโลยีและมนตรา มันผสมกันจนดูมั่วๆ
  • โปรโมตว่าเป็นไซไฟ แต่ดูแล้วไม่รู้สึกถึงความเป็นไซไฟ ออกเป็นสเปซโอเปร่าแฟนตาซีมากกว่า แต่จะว่าไป space opera ก็เป็น genre ย่อยของไซไฟล่ะนะ
  • บทและการดำเนินเรื่องนี่ ไม่น่าสนใจจริงๆ
  • การดำเนินเรื่องชวนให้นึกถึงองก์บาก คือคิดฉากแอคชันสวยๆ เอาไว้ว่ามีฉากไหนบ้าง แล้วค่อยมาเขียนเรื่องเพื่อให้เอาฉากแอคชันนั้นๆ มาใส่โยงกัน
  • โครงเรื่องยังคงยึดรามเกียรติ์เอาไว้อย่างเหนียวแน่น แต่มาปรับให้เป็นมนุษย์ เลยส่งผลให้น้ำหนักของเรื่องอ่อนยวบ และสโลแกนของเรื่องที่พยายามพูดตลอดทั้งเรื่องว่า ‘หน้าที่เหนือชีวิต’ ไม่ได้ให้ความรู้สึกร่วมว่าหน้าที่คืออะไร ทำไมต้องรับใช้พวกพระรามพระลักษณ์ ฝั่งตัวเอกมีคุณค่าอะไรให้ต้องรับใช้ แล้วพระลักษณ์ก็เป็นแบบนั้นคือสมควรต้องปกป้อง? ไม่มีการสร้างความเข้มแข็งของเซ็ตติ้งโลก (จักรวาล) เพื่อให้คนดูผูกพันว่าทำไมถึงแบ่งแยกฝักฝ่าย ทำไมถึงรับใช้ ทำไมถึงเป็นผู้นำ ทำไมๆๆๆ และทำไม… มันเลยไม่ได้รู้สึกอยากเอาใจช่วยฝั่งตัวเอกแม้แต่น้อย

ทางผู้สร้างมีโครงการสร้างภาคสอง นักรบมนตรา ตอน สะพานสู่ลงกา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้ทำต่อหรือเปล่า เพราะภาคแรกก็จมทุนไปเยอะล่ะ


[ Keywords ]

รามเกียรติ์, รามายณะ, อนิเมชัน, อนิเมชั่น, การ์ตูนไทย, 3D Animation, Mantra Warrior Ramayana

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2568

[นิยาย] ไลต์โนเวล The World's Fastest Level Up (การเลเวลอัปที่เร็วที่สุดในโลก)

ไลต์โนเวลเรื่อง The World's Fastest Level Up (การเลเวลอัปที่เร็วที่สุดในโลก) โดย Nagato Yamata ตอนนี้ออกมาได้ถึงเล่ม 3 แล้ว เป็นเรื่องที่อ่านได้เรื่อยๆ เนื้อเรื่องค่อนข้างเป็นการต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนเสียเยอะ ช่วงเล่มสามอ่านแล้วเลยเริ่มรู้สึกเบื่อๆ อยู่บ้างนิดหน่อย เพราะช่วงครึ่งหลังเล่ม 3 สู้อยู่กับบอส (เกือบจะ) ตัวเดียวเนื้อเรื่องแทบไม่ไปไหน

เมื่อยี่สิบปีก่อนโลกเกิดดันเจี้ยนปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด ทำให้มนุษยชาติมีอาชีพนักผจญภัยที่ดำดิ่งดันเจี้ยนถือกำเนิดขึ้น โดยอาชีพนักผจญภัยนั้นต้องผจญกับภัยอันตรายถึงชีวิต แต่ก็มีผลตอบแทนที่สูง เลยทำให้หลายคนยังเลือกเป็นนักผจญภัย

เพียงแต่ว่าดันเจี้ยนมีมาตั้งแต่ 20 ปีก่อน คนที่ลุยดันเจี้ยนช่วงแรกๆ จึงกลายเป็นกลุ่มระดับสุดยอดกันไปแล้ว คนที่เพิ่งลงดันเจี้ยนรุ่นหลัง ถ้าไม่ได้มีทักษะโดดเด่นจริง ก็ยากจะเกิดได้ เพราะหลังจากเคลียร์ดันเจี้ยนใดไปแล้ว จะเกิดระยะเวลา span ที่ต้องรออีกหนึ่งสัปดาห์ถึงจะลงดันเจี้ยนใหม่ได้อีกครั้ง

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2568

[มังงะ] เมื่อสุดอ่อนอย่างผมมี [บัคทะลุกำแพง] ~พอรับรางวัลเคลียร์เงื่อนไขครั้งแรกได้ไม่จำกัดทักษะก็พุ่งแรงไม่มีสิ้นสุด!~

อ่านมังงะเรื่อง เมื่อสุดอ่อนอย่างผมมี <บัคทะลุกำแพง> ~พอรับรางวัลเคลียร์เงื่อนไขครั้งแรกได้ไม่จำกัดทักษะก็พุ่งแรงไม่มีสิ้นสุด!~ ไปสองเล่มรวด สนุกดีนะ มีขายอยู่ใน mebmarket ด้วย เวลาที่เขียนบล็อกวางขายถึงเล่ม 3 แล้ว


เป็นนิยายแฟนตาซีลุยดันเจี้ยน เรื่องของเด็กชายชื่อเฮนรี่ ที่ต้องหาเงินมาซื้อยาฟื้นฟู เพื่อรักษาสภาพร่างกายของน้องสาวที่ป่วยด้วยโรคร้าย แต่เจ้าตัวดันเป็นมนุษย์เลเวลหนึ่งตลอดกาล เพราะไม่มีพลังโจมตี มีแต่สกิล ‘หลบหลีก’

แต่ต่อมาหลังจากถูกไล่ออกจากปาร์ตี้ ก็พบว่าสกิลที่คิดว่าเป็นสกิลขยะนั้นกลับมีผลทำให้ทะลุผ่านกำแพงในห้องบอสเพื่อเก็บไอเท็มได้โดยไม่ต้องฆ่าบอสก่อน และด้วยความที่บอสไม่ได้ถูกกำจัด จึงสามารถเก็บไอเท็มที่จะได้เพียงครั้งเดียวหลังจากกำจัดบอสมาอย่างไม่จำกัดจำนวน

ระหว่างที่เก็บไอเท็มมาขายซ้ำ เฮนรี่ก็มาเจอกับกลุ่มปาร์ตี้เดิมเข้า ทั้งยังถูกปล้นไอเท็มด้วย แต่ตอนนั้นเฮนรี่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากจอมเวทสาวสวยสุดแข็งแกร่งชื่อออโรเลีย จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เจ้าตัวผลักดันตัวเองจนแข็งแกร่งขึ้นมา

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2568

[นิยาย] ไลต์โนเวล The Dorky NPC Mercenary Knows His Place (ทหารรับจ้าง NPC จอมเนิร์ดซึ่งรู้จักที่ของตัวเอง)

The Dorky NPC Mercenary Knows His Place (ทหารรับจ้าง NPC จอมเนิร์ดซึ่งรู้จักที่ของตัวเอง) เป็นไลต์โนเวลที่มีเซ็ตติ้งแบบไซไฟ คือเป็นฉากยานอวกาศ แต่การดำเนินเนื้อเรื่องก็ออกแนวสโลวไลฟ์เแทบไม่ต่างจากไลต์โนเวลแนวแฟนตาซีต่างโลกเลย

เป็นเรื่องของจอห์น อูรอส ทหารรับจ้างที่อ้วนเตี้ยขี้เหร่ เกิดบนดาวเคราะห์บริวารที่มีสถานะต่ำต้อย จึงเจียมตัวเจียมตน ไม่ทำตัวเด่น เวลาไปติดต่อกิลด์ก็เลือกติดต่อกับพนักงานที่เป็นตาลุงแก่ๆ เพราะถ้าไปคุยกับพนักงานสาวๆ จะถูกผู้ชายคนอื่นๆ เพ่งเล็ง

จอห์นมียานบุโรทั่งชื่อ Patchwork เป็นเครื่องมือทำมาหากิน รับงานทุกอย่างเพื่อเงิน แต่หลีกเลี่ยงงานที่ยุ่งยากและอันตราย และฝังหัวตัวเองว่าเป็นแค่ NPC ตัวประกอบในเรื่อง เพราะถ้าเป็นตัวเอกก็จะมีอันตรายเข้ามาเกี่ยวข้องไม่หยุดหย่อน