เปลี่ยนมาใช้ Linux Mint 20.2 Uma (Cinnamon) เพราะว่าพยายามติดตั้ง elementaryOS 5.1 (Odin) อยู่หลายรอบ แต่ก็ขึ้นว่า
ทั้งๆ ที่เป็นแฟลชไดร์ฟที่ใช้ติดตั้งก่อนหน้านี้ (และใช้ติดตั้งกับคอมฯ มาแล้วหลายเครื่อง) แต่อยู่ๆ กลับใช้ไม่ได้ซะงั้น 😣 พอลองหาข้อมูลการแก้ปัญหา เขาบอกว่าสาเหตุหนึ่งน่าจะเป็นเพราะไฟล์ติดตั้งไม่สมบูรณ์ ก็เลยลองไปโหลด Linux Mint มาติดตั้ง และผลคือ ผ่านฉลุย 😎
ก็เลยเปลี่ยนมาใช้ Mint แทน elementaryOS ที่ใช้มานานตั้งแต่สมัยรุ่น 0.3.2 (Freya - Ubuntu 14.04) แล้วก็มาเป็น 0.4 (Loki - Ubuntu 16.04) จนกระทั่ง 5.1 (Juno - Ubuntu 18.04)
หลังจากทดลองใช้งาน Mint มา 3-4 วัน (ติดตั้งไปเมื่อ 10 กันยายน 64) ก็ไม่ได้รู้สึกขัดใจอะไรเท่าไหร่
ด้วยความที่ตั้งแต่ย้ายมาใช้ Linux เป็นหลักโดยไม่มี Windows มาตั้งแต่มกราคม 2016 (2559) ก็ใช้ elementaryOS มาตลอด พอเปลี่ยนมาใช้ Mint ก็เลยงงๆ กับพวกเมนูและ user interface อยู่บ้าง
ตอนที่ติดตั้งนี่รู้สึกว่า Mint 20.2 ใช้เวลาติดตั้งนานกว่า elementary OS 5.1 เป็นเพราะมีโปรแกรมพื้นฐานติดตั้งมาให้เลย อย่างเช่น LibreOffice (6.4.7.2) (รุ่นปัจจุบันคือ 7.2), Thunder Bird Mail, Firefox, HexChat, Transmission แล้วก็พวกโปรแกรมเบ็ดเตล็ดทั้งหลาย ซึ่งถ้าตัวไหนไม่ได้ใช้ก็ลบทิ้งเอาเอง ที่จริงแล้วผมชอบมาติดตั้งเองมากกว่า แต่ก็ไม่ซีเรียสอะไร
พอเปิดใช้งาน ความประทับใจแรกที่รู้สึกก็คือ หน้าตาดูด้อยกว่า elementary OS ฮ่า 😆 อันนี้ช่วยอะไรไม่ได้ จะให้มาแต่งหน้าตาให้เหมือน elementary OS ก็ขี้เกียจ ช่างมัน!
แต่สีเขียวมันแปร๋นไปหน่อย เลยปรับสีใน Preferences / Themes ให้เป็น Mint-Y-Dark ซะ ก็พอโอเคขึ้นล่ะ
ถัดมาก็คือปุ่มเปลี่ยนภาษาที่ไม่ได้ติดตั้งมาให้ ก็เข้าไปที่ Preferences / Input Method / Thai จากนั้นก็กด Install
เห็นมีแป้นภาษาจีน-ญี่ปุ่นด้วย คิดว่าน่าจะพร้อมใช้เหมือนไทยนะ ตอนใช้ elementary OS นี่พยายามติดตั้งแป้นพิมพ์จีน แต่ไม่สำเร็จซักที เลยยอมแพ้ไปแล้ว
เมื่อเพิ่มแป้นพิมพ์ไทยแล้ว ต่อไปก็ตั้งค่าปุ่มเปลี่ยนภาษา เข้าไปที่ Preferences / Keyboard (หรือจะคลิกที่รูปธงชาติที่ขวาล่าง แล้วเลือก Keyboard Settings ก็ได้เหมือนกัน)
จากนั้นก็เลือกที่แท็บ Layouts แล้วจิ้มที่ Options... ที่ขวาล่าง
แล้วเลือก Switching to another layout ดูว่าชอบใช้ปุ่มไหนเพื่อสลับภาษา ส่วนผมก็ Left Alt+Left Shift เหมือนเดิม เท่านี้ก็เรียบร้อยล่ะ
เกี่ยวกับการสลับภาษานี่ Mint กดปุ๊บเปลี่ยนปั๊บ เปลี่ยนได้เร็วกว่า elementary OS ชัดเจน ซึ่งอย่างหลังนั้นจะต้องรอหน่วงแป๊บนึง ทำให้เวลาเปลี่ยนภาษาจะต้องกลับมาแก้ตัวที่พิมพ์อยู่บ่อยครั้ง
ที่เหลือก็ไล่ติดตั้งโปรแกรมที่จะใช้งานลงไป
และด้วยความที่ผมใช้ Workspace (หน้าจอทำงาน) มากกว่า 1 จอ ก็พยายามหาว่ามันต้องกดปุ่มไหนเพื่อเปลี่ยน เพราะใน elementary OS นั้นใช้ปุ่ม Super + ลูกศร แต่ใน Mint มันดันกลายเป็นการปรับหน้าต่างโปรแกรมให้ชิดซ้ายขวาบนล่างแทนซะงั้น
สุดท้ายก็เจอว่าปุ่มมาตรฐานของ Mint คือต้องใช้ Ctrl + Alt + ลูกศร เพื่อเปลี่ยน Workspace ตอนแรกก็คิดจะเปลี่ยนเหมือนกัน แต่ก็ลองใช้ไปก่อนละกัน กดผิดกดถูกอยู่ตลอด เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Preferences / Keyboard (หรือจะคลิกที่รูปธงชาติที่ขวาล่าง แล้วเลือก Keyboard Settings ก็ได้เหมือนกัน) เลือกที่แท็บ Shortcuts แล้วก็เลือกที่ Workspace
จากนั้นในกรอบด้านล่างที่เขียนว่า Keyboard bindings จะมีตัวเลือกให้ตั้งค่า ซึ่งจะตั้งได้ 3 ตัวเลือก เลือกที่เป็น unassigned ก็คือการตั้งค่าชุดใหม่ แต่ถ้าต้องการเปลี่ยนของเดิมไปเลยก็จิ้มที่ Ctrl+Alt+Left
เกี่ยวกับ Workspace นี่นอกเหนือจากปุ่มเลื่อนแล้วก็มีเรื่องที่ต้องปรับตัว นั่นก็คือใน elementary OS นั้นเวลาเปลี่ยน Workspace ไปเนี่ย โปรแกรมที่เราเปิดไว้ใน Workspace อื่นมันยังแสดงให้เราเห็นว่ามันถูกเปิดไว้อยู่ แต่ใน Mint มันเหมือนกลายเป็นเปิดโปรแกรมใหม่ขึ้นมาเลย และไม่แสดงด้วยว่ามีเปิดไว้ใน Workspace อื่น อันนี้รู้สึกไม่ชินเท่าไหร่
ที่ต้องปรับตัวอีกเรื่องก็คือโปรแกรมพิมพ์ข้อความ (เทียบกับ Windows ก็คือ Notepad) ใน elementary OS นั้นใช้แนวคิดของการบันทึกอัตโนมัติ เราไม่จำเป็นต้องกดบันทึกเอง พอมาใช้ของ Mint ต้องระวังอย่าลืม save ฮ่า
* * * * *
[Keywords]
Linux, Mint, Cinnamon, Uma
[Reference]
Linux Wiki : elementary OS
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น