วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หนังสือ หนังสือสแกน และการละเมิดลิขสิทธิ์

บล็อกนี้ เขียนเรื่องจริงจังหน่อยนะ ^^
จุดประสงค์ไม่ได้ต้องการจะมาด่ากลุ่มนั้นกลุ่มนี้ หรือว่ามาต้มมาม่าแบ่งกันกิน
เพียงแค่เอามาคุยเพื่อให้มองถึงเหตุผลกัน

อย่างที่เราก็เห็นกันอยู่ (หรือไม่เห็นนะ ฮ่า) ว่าการมาของ iPad ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ด้านหนึ่งที่เปลี่ยนและได้รับผลกระทบพอสมควรคือเรื่องหนังสือ




จากแต่ก่อน พวกหนังสือสแกนที่เอาไปสแกนเนี่ย มักจะเป็นแค่พวกการ์ตูน และวงที่อ่านกันก็ยังแคบกว่าเดี๋ยวนี้ ส่วนหนังสือเป็นเล่มๆ มักไม่ค่อยสแกนไว้อ่านบนคอม เพราะอ่านไม่ค่อยสะดวก ถ้าสแกนก็คงจะปรินท์ออกมาเป็นกระดาษอีกที อารมณ์ประมาณว่าถ่ายเอกสารนั่นแหละ

ส่วนหนังสือการ์ตูนนั้นตัวหนังสือน้อยกว่า ดูรูปเอาซะเยอะ ก็เลยมีสแกนกันมากกว่า แต่ยังอยู่ในกลุ่มเล็กๆ ที่ไว้แบ่งปันกันอ่าน

แต่พอ iPad ปรากฏตัวขึ้นในโลกาพิภพ ทำเอาผู้คนให้ความสนใจกันอย่างถล่มทลาย และไขว่คว้ามาเป็นเจ้าของ (ทำให้อุปกรณ์สายพันธุ์เดียวกัน ที่เรียกว่า Tablet ก็ขายแพร่หลายตามๆ กันไปด้วย)

สิ่งที่ตามมาคือ การพกพาอ่านหนังสือสแกน ทั้งการ์ตูน ทั้งหนังสือ ทำได้สะดวกและง่ายขึ้นมาก

ก็เลยทำให้เกิดธุรกิจ ขายหนังสือหรือการ์ตูนแบบสแกนขึ้นมา จากแต่ก่อนที่แบ่งปันกันอ่านแค่นั้น

ที่จริงแล้วการสแกนพวกหนังสือหรือการ์ตูนมาแบ่งปันอ่านเนี่ย ก็ไม่ค่อยถูกกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาอยู่แล้วล่ะ (ออกแนวสีเทา)

แต่การเอามาขายเนี่ย ผิดเต็มๆ ไม่ว่าจะยกข้ออ้างแบบไหนมาก็ตามที

ที่เขียนบล็อกนี้ เพราะเผอิญว่า สนใจจะสั่งซื้อหนังสือของ bliss ที่ปิดกิจการลง แล้วไปเจอข้อความนี้จาก facebook ของ bliss


คือสะดุดกับคำที่บอกว่า “การกระทำดังกล่าวเป็นการทำร้ายวงการหนังสืออย่างเจ็บปวดจริงๆ

แล้วก็มีสมาชิกบางคนบอกว่า

“คนรักหนังสือจริงๆเค้าไม่ทำหรอก ถ้าเป็นเรา เราก็ไม่โหลดนะเออ”

“หนังสือก็ไม่ได้ราคาแพงอะไร เล่มละร้อยกว่าบาทเองนะ อยากอ่านซื้อมาเก็บไว้จะอ่อนกี่ร้อยกี่พันรอบก็ได้ เงินแค่นี้ไม่มีปัญญาจ่าย แต่มีเงินซื้อ hard disk ตัวละหลายพันเอามาเ็ก็บหนังสือฟรีที่โหลดมา คิดถึงคนที่เขาเขียนหนังสือ แปลหนังสืออกมาเป็นงานให้คุณอ่านบ้างเถอะ มันเป็นงานใช้สมองคิดออกมานะ คนทำนะ แต่งหนังสือขายได้แบบคนเขียนหรือเปล่า ขอถามหน่อย”

“คงเป็นแค่คนที่อยากอ่านหนังสือ แต่ไม่รักหนังสือ และไม่เคารพกฏหมาย แบบนี้ก็เห็นแก่ตัวเกิน”



เลยทำให้ฉุกคิดขึ้นมา ว่า การสแกนหนังสือมาแบ่งปันกัน เป็นการทำร้ายวงการหนังสือแค่ไหนยังไง?

ก็อย่างที่พูดไปแล้วว่า ไม่ได้ต้องการมาด่ากัน หรือแก้ตัว หรือต้มมาม่า แต่มามองกันด้วยเหตุผลเชิงวิเคราะห์

ย้ำอีกทีว่าการสแกนหนังสือมาขายเนี่ย ยังไงก็ผิดเต็มๆ ไม่ว่าจะอ้างยังไงก็ตามที


ทีนี้มาดูกันต่อ ลองยกตัวอย่าง ด้วยตัวเลขเวอร์ๆ เพื่อให้เห็นภาพเปรียบเทียบชัดเจน

สมมติหนังสือเล่มหนึ่ง ยอดพิมพ์ 2,000 เล่ม มียอดขายได้ 1,000 เล่ม ค้างสต๊อก 1,000 เล่ม
สำนักพิมพ์ขายได้กำไร 1,000 เล่ม คนเขียนก็ได้ค่าตอบแทน 1,000 เล่มที่ขายได้นั่นแหละ

คนอ่าน อ่านเสร็จ บางคนขายต่อ,
บางคนเช่าอ่านจากร้านเช่า,
บางคนยืมเพื่อนอ่าน,
บางคนอ่านจากห้องสมุด,
บางคนอ่านที่ร้านหนังสือ
บางคน ไม่อ่าน ฮ่า :P

จากยอดขายหนังสือ 1,000 เล่ม อาจมีคนได้อ่านจริง 10,000 คน
แต่สำนักพิมพ์และคนเขียน ก็ยังคงได้ค่าตอบแทนแค่ 1,000 เล่ม ที่ขายได้เท่านั้น
และที่มันค้างสต๊อกอีก 1,000 เล่ม ก็ยังคงค้างอยู่แบบนั้นเหมือนเดิม

แบบนี้ การซื้อขายหนังสือมือสอง กับร้านเช่า ทำลายวงการหนังสือหรือเปล่า?


และจากความเห็นของสมาชิกบางคน ที่บอกว่าคนรักหนังสือ ไม่ทำกันแบบนี้
ประเด็นนี้ ผมว่าไม่เกี่ยวกับการรักหรือไม่รักหนังสือ

คนส่วนใหญ่รู้สึกยังไง กับการใช้โปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์ การดูหนัง ฟังเพลงแบบละเมิดลิขสิทธิ์
คนจำนวนมากไม่คิดอะไร และมีข้ออ้างว่า เพราะของแท้มันมีราคาแพง
ทั้งๆ ที่คุณเลือกได้ว่าจะใช้โปรแกรมตัวอื่นทดแทน แต่ก็ยังเลือกใช้โปรแกรมเถื่อน
โหลดหนัง โหลดเพลง โหลด youtube หรือเข้าร้านที่รับลงแอพมือถือเถื่อน (หรือโหลดมาลงเอง)

แบบนี้มันเป็นความคิดแบบสองมาตรฐานนี่หว่า ฮ่า


เท่าที่เคยเจอมา คนที่เขาสแกนหนังสือส่วนใหญ่ก็เพื่อมาแบ่งปันกันอ่าน
ส่วนคนที่ขายหนังสือสแกน ผมยังไม่เคยเจอคนที่สแกนขายเองนะ แต่อาจมีก็ได้
เจ้าคนขายนี่แหละ ไปเอาสแกนที่เขาแบ่งกันอ่าน มาขายหาเงิน

คนที่อ่านสแกน บางคนอ่านเพราะโหลดฟรี บางคนซื้ออ่านเพราะราคาถูก
และมีคนอีกไม่น้อยที่อ่านแบบสแกน เพราะมันสะดวกต่อการพกพาอ่าน

อย่างที่คุยไว้ต้นเรื่องแล้วว่า เทคโนโลยีและพฤติการอ่านนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควรในช่วง 2-3 ปีมานี้ แต่บรรดาสำนักพิมพ์ ส่วนใหญ่ยังไม่ปรับตัวตาม




อันนี้ขอบ่นสำนักพิมพ์หน่อยนะ ฮ่า

เราคงเคยได้ยินเรื่องผลการวิจัยว่าคนไทยอ่านหนังสือโดยเฉลี่ยวันละ 5 บรรทัด
ผมไม่รู้หรอกว่า ไปเอาอะไรที่ไหนมาวิจัย
แต่ที่เห็นๆ คือ ราคาหนังสือ มันค่อนข้างสูงกว่าที่เราจะตามสะสมได้ทั้งหมด

หนังสือเดี๋ยวนี้ ส่วนใหญ่ราคาขั้นต่ำแถวๆ สองร้อยขึ้น
โดยพิมพ์ออกมาเป็นปกอาร์ตเคลือบมัน สีพิเศษ พิมพ์นูน ตัวเล่มเนื้อในเป็นกระดาษอาร์ตกระดาษปอนด์ย้อมสี (ที่อ้างว่าเป็น green read)

ซึ่งถ้าทำขายเป็นสองเวอร์ชัน สำหรับใครที่สะสม ก็ทำรูปเล่มสวยๆ ราคาอย่างที่เราเห็นกัน
กับเวอร์ชันแบบที่ไว้สำหรับการอ่านธรรมดา หน้าปกไม่ต้องอาบยูวี ข้างในเป็นกระดาษปรู๊ฟ แล้วลดราคาให้ต่ำลงอีก

เหมือนกับที่ต่างประเทศ จะมีหนังสือแบบ ปกแข็ง (hard cover), ปกอ่อน (paperback), แบบกระดาษถูก (mass paperback) ราคาลดหลั่นกันไป

ก็เข้าใจล่ะ ว่ามันเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายของสำนักพิมพ์ แต่ถ้าทำจริงๆ ก็อยู่ในวิสัยที่ทำได้แหละ แค่ไม่ทำเพราะต้องการกำไรเยอะๆ จริงไหม?



เอาล่ะ เข้าเรื่องด่อ จากที่บอกไว้ว่า คนบางกลุ่ม อ่านแบบสแกนเพราะสะดวกต่อการพกพาอ่าน

ผมเองเวลาเดินทาง ผมจะพกหนังสือติดไปด้วย ถ้าไปหลายวันก็อาจพกไป 5-6 เล่ม ซึ่งอ่านไม่นานก็จบหมดแล้ว แต่ภาระในการพกพายังมีอยู่!!

คนที่แบกหนังสือประจำจะรู้และเข้าใจดีว่า มัน “หนัก” ขนาดไหน

ดังนั้นการอ่านหนังสือแบบ ebook จึงเป็นตัวเลือกที่หลายๆ คนเลือก

และเดี๋ยวนี้ เครื่องอ่านอีบุ๊ก (ebook reader) ก็เป็นที่รู้จักกันและใช้งานมากขึ้น (เช่น Kindle, Nook, Sony, Kobo ฯลฯ) เพราะด้วยความที่หน้าจอไม่มีแสงไฟในตัว ทำให้อ่านต่อเนื่องและอ่านในที่แสงเยอะได้สบายตา ซึ่งความรู้สึกนี้ต้องสัมผัสด้วยตัวเองว่าอ่านจากเครื่องอ่านอีบุ๊กนั้นสบายตากว่าอ่านจากมือถือหรือแท็บเล็ตขนาดไหน

ปัญหามีอยู่ว่า เครื่องอ่านอีบุ๊กนั้น ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนทำหนังสือภาษาไทยมาจำหน่าย T-T
หลายคนพร้อมที่จะจ่ายเงินซื้อหนังสืออีบุ๊กภาษาไทยในราคาที่สมเหตุสมผล แต่... มันไม่มีขาย!!


ทุกวันนี้ สำนักพิมพ์ไทยบางเจ้า เริ่มปรับตัวมาลงตลาดอีบุ๊กแล้วเหมือนกัน แต่ว่ายังไม่ดีพอ เพราะ...

- อีบุ๊กที่ขาย เป็นแบบ pdf ที่ยกหน้าหนังสือมาเลย มันอ่านง่ายนะถ้าอ่านบนแท็บเล็ต 10 นิ้วแบบ iPad แต่ถ้าเป็นแท็บเล็ตหน้าจอ 5 - 7 นิ้ว ตัวหนังสือจะเล็กไปหน่อย ส่วนมือถือหน้าจอ 4 นิ้วลงมา ไม่ต้องพูดถึง หมดปัญญาอ่านให้สบายใจล่ะ ซึ่งถ้าทำหนังสือเป็นรูปแบบ ePub ก็จะสามารถย่อขยายตัวหนังสือได้ตามต้องการ และนอกจากนี้หนังสือของบางค่ายก็มีแค่บน iPad / iPhone ส่วนคนใช้ Android หรือระบบอื่น อดอีก

- ราคาหนังสืออีบุ๊กยังค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่ลดประมาณ 20% จากหนังสือจริง ซึ่งเทียบกับอีบุ๊กแล้วถือว่าแพง เพราะว่าอีบุ๊กไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการพิมพ์ ค่าสายส่ง ค่าพื้นที่วางหนังสือ ซึ่งเป็นต้นทุนไปราว 70% นอกจากนี้ หนังสือเป็นเล่ม เมื่ออ่านเสร็จ สามารถขายต่อได้ หรือเช่าอ่านจากร้านได้ หรือซื้อมือสองลดราคาได้ แต่อีบุ๊กที่ขายอยู่นี้ทำไม่ได้

- ไม่ทำอีบุ๊กในเวอร์ชันเปิดอ่านกับเครื่องอ่านอีบุ๊ก (mobi -> Kindle, ePub -> Nook, Sony, Kobo ฯลฯ) ซึ่งถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังมีกลุ่มคนอ่านไม่มาก แต่ถ้ามีหนังสือไทยให้เลือกอ่านมากขึ้น จะมีผู้ใช้กลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมาอีกพอควร เพราะความสบายตาในการอ่าน และบรรดาเครื่องอ่านอีบุ๊กพวกนี้ ก็มีแอพที่เปิดอ่านบน iPhone / iPad / Android ด้วย ดังนั้นถึงแม้ว่าจะไม่มีเครื่องอ่าน แต่ก็ยังซื้อไปอ่านบน iPhone / iPad / Android ได้เช่นกัน

- แต่ละค่าย ต่างก็เขียนแอพกันขึ้นมาเอง เมื่อซื้อกับค่ายไหนก็ต้องใช้แอพเปิดหนังสือของค่ายนั้น ไม่สามารถไปใช้แอพตัวอื่นเปิดอ่านได้ ซึ่งแอพหลายๆ ตัวที่อ่านอีบุ๊ก มีความสามารถและความสะดวกในการใช้งานมากกว่าแอพที่ค่ายสำนักพิมพ์ไทยทำออกมาซะอีก

ดังนั้นตัวเลือกของคนกลุ่มนี้ในตอนนี้ จึงมีคำตอบเป็นหนังสือสแกนนั่นเอง

ถ้ามีสำนักพิมพ์ไหนตอบโจทย์เหล่านี้ได้ แน่นอนว่าผู้บริโภคยินดีควักกระเป๋าจ่ายให้ทันที!! เพราะหนังสือสแกนนั้นอ่านไม่สะดวก ไฟล์ใหญ่เปลืองที่ เลื่อนหน้าลำบาก ตัวหนังสือไม่เหมาะกับหน้าจอและไม่คมชัด ถ้าเป็นแบบพิมพ์ก็มีคำผิดให้ขัดใจประปราย เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าคนที่สแกนมาแบ่งปันกัน ไม่ได้ทำเป็นธุรกิจ ดังนั้นคุณภาพย่อมต่ำเป็นธรรมดา

แต่พวกที่ไปเอามาขายนี่สิ แย่จริงๆ -_-'a

ส่วนใครที่บอกว่าขออ่านแบบเป็นเล่ม เพราะได้อรรถรสในการอ่านมากกว่า ก็ปล่อยเขาอ่านเป็นเล่มไปเต๊อะ คนที่อ่านแบบอีบุ๊กเขาก็อยากอ่านแบบอีบุ๊กอยู่แล้ว ฮ่า



ผมเข้าใจดีว่าทางสำนักพิมพ์นั้นทำธุรกิจ ก็ต้องหวังกำไรเป็นธรรมดา เพราะไม่ใช่มูลนิธิที่จะมาทำการกุศล แต่ในเมื่อทำธุรกิจ คุณก็ต้องมีวิสัยทัศน์ที่จะปรับตัวให้อยู่รอด

ก็ได้แต่หวังว่าสำนักพิมพ์ในเมืองไทย จะมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ผู้บริโภคได้มีตัวเลือกดีๆ


ย้ำครั้งสุดท้ายว่า บล็อกนี้ไม่ได้ต้องการด่าใคร ประจานใคร แก้ตัวให้ใคร หรือดราม่ากับใคร
และการละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อประโยชน์ด้านการค้า ยังไงก็ผิด ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ, โปรแกรมคอมพิวเตอร์, โปรแกรมบนมือถือ-แท็บเล็ต, เพลง, ภาพยนตร์ ฯลฯ อย่าสองมาตรฐานและอย่าแถเลยนะตัวเอง ^^



(ภาพจาก http://read.in.th/node/1272)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น